Rogers asia thailand

หน้าแรก ข่าวสารและบทความ

5 ปัจจัยที่ต้องพิจารณา ก่อนเลือก Air Freight หรือ Sea Freight

แนะนำ 5 ปัจจัยหลักในการพิจารณาเลือกระหว่าง Air Freight Sea Freight

ในปัจจุบันที่โลกการค้ากำลังฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจ และ ห่วงโซ่อุปทานที่ผันผวน การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความสำเร็จของธุรกิจ โดยเฉพาะในประเทศไทยซึ่งเป็นฐานการส่งออกหลักของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยสินค้าหลักๆของไทยอย่างอิเล็กทรอนิกส์ อาหาร และ ยานยนต์ต่างต้องอาศัยระบบขนส่งที่รวดเร็ว และ คุ้มค่า อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการหลายๆคนคงยังสับสนระหว่างการเลือก Air Freight (ขนส่งทางอากาศ) ซึ่งรวดเร็วแต่แพง กับ Sea Freight (ขนส่งทางทะเล) ซึ่งถูกแต่ช้า การตัดสินใจที่ผิดพลาดอาจนำไปสู่ต้นทุนที่สูงขึ้น ความล่าช้าในห่วงโซ่อุปทาน หรือ แม้กระทั่งเสียโอกาสทางการตลาด ดังนั้นบทความนี้เราจะเจาะลึก 5 ปัจจัยหลักที่ต้องพิจารณาก่อนเลือกวิธีขนส่ง เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด และ ยั่งยืน ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ราคาน้ำมัน และ ค่าขนส่งทางทะเลที่เพิ่มขึ้น 10-15% จากปีก่อน การเลือกที่ถูกต้องไม่เพียงลดต้นทุนแต่ยังเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ธุรกิจของคุณในตลาดโลกอีกด้วย

 

5 สิ่งที่ต้องพิจารณาในการเลือกวิธีการขนส่งแบบ Air Freight Sea Freight

  1. เวลาในการขนส่ง (Time Sensitivity)
    เวลาการขนส่งเป็นปัจจัยแรกที่ต้องพิจารณา เพราะสินค้าบางประเภทไม่สามารถรอได้นานๆ โดย Air Freight เป็นตัวเลือกที่รวดเร็วที่สุด โดยทั่วไปจะใช้เวลาเพียง 1-7 วันสำหรับการขนส่งระหว่างทวีป เช่น จากไทยไปสหรัฐอเมริกาใช้เวลาเพียง 2-3 วัน ขณะที่ Sea Freight จะใช้เวลา 20-45 วันสำหรับเส้นทางเดียวกัน  เหตุผลที่ Air Freight รวดเร็วเพราะใช้เครื่องบินขนส่งโดยตรง ไม่ต้องรอเรือบรรทุกสินค้าที่อาจล่าช้าจากสภาพอากาศ พายุ หรือ ความแออัดที่ท่าเรือ

    โดยสำหรับธุรกิจที่ต้องการความรวดเร็ว เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์อย่างสมาร์ทโฟน หรือ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่ต้องส่งทันกำหนดการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Air Freight คือทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะจะช่วยลดเวลาในคลังสินค้า และ ช่วยป้องกันการสูญเสียโอกาสจากสินค้าล้าสมัย (Obsolescence) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่สินค้ามีวงจรชีวิตสั้นเพียง 6-12 เดือน  ตัวอย่างเช่น บริษัท Apple ในไทยเลือก Air Freight สำหรับส่งชิ้นส่วน iPhone เพื่อให้ทันกำหนดการผลิต ทำให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้

    ในทางกลับกัน สำหรับสินค้าที่ไม่เร่งด่วน เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องจักร หรือ สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป Sea Freight จะเหมาะกว่าเพราะต้นทุนต่ำ และ สามารถขนส่งปริมาณมากได้โดยไม่กระทบต่อกำไร แม้เวลาจะนานแต่สามารถวางแผนล่วงหน้าได้ สุดท้าย การพิจารณาปัจจัยนี้ต้องคำนวณจากเวลาที่เสียไปกับมูลค่าสินค้า เช่น ถ้าสินค้ามูลค่าสูง และ ตลาดเปลี่ยนเร็ว Air Freight จะคุ้มกว่าแม้จะแพงกว่า

  2. ต้นทุนการขนส่ง (Cost Effectiveness)
    ต้นทุนเป็นปัจจัยที่หลายๆธุรกิจให้ความสำคัญสูงสุด โดยเฉพาะกับ Sea Freight ที่ถูกกว่า Air Freight มากถึง 5-10 เท่าเหตุผลคือ Sea Freight ขนส่งปริมาณมากได้ในครั้งเดียว จึงช่วยลดต้นทุนต่อหน่วย ได้ขณะที่ Air Freight มีข้อจำกัดด้านน้ำหนัก และ ขนาด ทำให้เหมาะกับสินค้ามูลค่าสูงแต่ปริมาณน้อย

    สำหรับธุรกิจในไทยที่ส่งออกสินค้าปริมาณมากๆอย่างข้าว หรือ ผลไม้ Sea Freight จะช่วยลดต้นทุนเพื่อแข่งขันในตลาดโลกได้ดีกว่า แต่สำหรับสินค้าที่ต้องส่งด่วนอย่างเสื้อผ้าแฟชั่น หรือ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ Air Freight อาจคุ้มกว่า เพราะ ช่วยลดต้นทุนคลังสินค้า และ ลดโอกาสเสียหายจากความชื้นในทะเลได้ 

  3. ปริมาณ และ ขนาดสินค้า (Volume and Size of Cargo)
    ปริมาณ และ ขนาดสินค้าเป็นปัจจัยที่กำหนดวิธีขนส่ง โดย Sea Freight เหมาะกับสินค้าปริมาณมากๆและ ขนาดใหญ่ เช่น เครื่องจักร หรือ วัตถุดิบที่บรรจุในคอนเทนเนอร์ 20-40 ฟุต ซึ่งขนได้หลายตันในราคาถูก  ขณะที่ Air Freight เหมาะกับสินค้าขนาดเล็ก และ น้ำหนักเบา เพราะมีข้อจำกัดน้ำหนักสูงสุด 100-200 กก. ต่อชิ้น และ ราคาคิดตามน้ำหนักจริง หรือ ปริมาตร (Volumetric Weight)

    สำหรับธุรกิจในไทยที่ส่งออกสินค้าปริมาณมากอย่างยางพารา หรือ อาหารแปรรูป Sea Freight จะช่วยลดต้นทุนต่อหน่วย และ รองรับ Full Container Load (FCL) ที่ปลอดภัยกว่า  แต่สำหรับสินค้าขนาดเล็กอย่างเครื่องประดับ หรือ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ Air Freight จะสะดวกกว่าเพราะไม่ต้องรอเต็มคอนเทนเนอร์ และ ช่วยลดความเสี่ยงจากความชื้น หรือ อุณหภูมิในทะเล การพิจารณาปัจจัยนี้ต้องคำนวณจากน้ำหนัก และ ปริมาณเพื่อเลือกที่คุ้มที่สุด เช่น ถ้าสินค้าน้ำหนักมากๆ Sea Freight จะดีกว่า แต่ถ้าเบา และ มีมูลค่าสูง Air Freight อาจเหมาะกว่าเพื่อลดเวลาในคลัง

  4. ประเภทสินค้า (Type of Goods)
    ประเภทสินค้าเป็นปัจจัยที่กำหนดวิธีขนส่งได้ โดยสินค้าที่เน่าเสียง่ายอย่างอาหารสด หรือ ดอกไม้สดต้องใช้ Air Freight เพื่อรักษาความสดใหม่  ขณะที่สินค้าทั่วไปอย่างเฟอร์นิเจอร์ หรือ เสื้อผ้าใช้จะ

    Sea Freight ได้เพราะไม่เสี่ยงต่อการเสียเวลา สำหรับสินค้าอันตราย (Dangerous Goods) เช่น สารเคมี หรือ แบตเตอรี่ การขนส่ง Air Freight จะมีกฎที่เข้มงวดมากกว่า และ แพงกว่า

    ในไทย สินค้าส่งออกอย่างผลไม้สดอย่างทุเรียนต้องใช้ Air Freight เพื่อรักษาคุณภาพ แต่สินค้าอุตสาหกรรมอย่างยางรถยนต์จะใช้ Sea Freight เพื่อลดต้นทุนได้ดี   การพิจารณาปัจจัยนี้จะช่วยหลีกเลี่ยงความเสียหาย และ เพิ่มกำไรได้

  5. ความเสี่ยงและความปลอดภัย (Risk and Security)
    ความเสี่ยงเป็นปัจจัยสุดท้ายที่ต้องพิจารณา โดย Air Freight จะมีความเสี่ยงต่ำกว่าเพราะเวลาในการขนส่งจะสั้นลง จึงช่วยลดโอกาสสูญหาย หรือ เสียหายจากสภาพอากาศ และ มีระบบติดตามแบบเรียลไทม์  ขณะที่ Sea Freight อาจมีความเสี่ยงจากพายุ ความล่าช้า หรือ โจรสลัดในบางเส้นทาง  สำหรับสินค้าที่มีมูลค่าสูงอย่างเพชร หรือ อิเล็กทรอนิกส์ Air Freight จะปลอดภัยกว่าด้วยระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดในสนามบิน


จากที่กล่าวมาจะพบว่าการเลือก Air Freight Sea Freight จะไม่มีคำตอบที่ตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับ 5 ปัจจัยหลักๆ ได้แก่ เวลา ค่าใช้จ่าย ประเภทสินค้า ความเสี่ยง และ ความยืดหยุ่น หากคุณเข้าใจปัจจัยเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง จะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างคุ้มค่า ช่วยลดต้นทุน เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และ สร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าได้มากที่สุด ดังนั้นหากสนใจในบริการการขนส่งที่หลากหลายเราขอแนะนำ บริษัท โรเจอร์ กรุงเทพ จำกัด ซึ่งมีบริการขนส่งAir Freight และ Sea Freight ที่ได้มาตรฐาน อีกทั้งยังมีบริการโลจิสติกส์ และ มีบริการอื่นๆอย่างมืออาชีพ ทั้งยังมีบุคคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ และ ประสบการณ์ ในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทุกชนิดโดยเฉพาะ  อีกทั้งยังมี ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษา ทางด้านการขนส่งสินค้า ได้หลากหลายประเภท สามารถขอคำแนะนำกับทางเราได้ตลอดเวลา ทางเรามีทีมงานคอยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้กับลูกค้าได้อย่างทันที เราจึงมั่นใจว่าจะบริการทุกธุรกิจได้อย่างราบรื่นนั้นเอง


Website : https://www.rogers-thailand.com
Facebook : Rogers Thailand
E-mail : infoth@rogers-asia.com
Tel : 02 752 6417
Line : @rogersthailand

Powered by Froala Editor

Powered by Froala Editor